สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 3 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภาษาอังกฤษ ตำนาน ที่อยู่คู่กับความเชื่อของคนไทย

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อ ความศรัทธาในสิ่งที่อยู่นอกเหนือ การพิสูจน์ทราบเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับ สังคมมนุษยชาติมา ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล รากฐานของความเชื่อ ความศรัทธา ล้วนมาจากความกลัว และความพยายาม ในการเอาชนะธรรมชาติ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” หากได้รับการยอมรับ ในหมู่ชน ก็จะถูกพัฒนา ให้กลายเป็นประเพณี ที่ต้องปฏิบัติ โดยเชื่อว่า หากให้ความเคารพยำเกรง ต่อสิ่งที่ยึดเหนี่ยว ที่มีอำนาจเหนือธรรมชาตินั้น ก็จะทำให้เกิดความสงบสุข นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะ 3 ตำนานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อไปนี้ ที่ยังคงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว และ หาข้อพิสูจน์ ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ วัดพระแก้วมรกต

สิ่งศักดิ์สิทธิ์

เหล็กไหล วัตถุธาตุอาถรรพ์ที่ลึกลับ

อันดับแรก แม้ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบ ได้ว่านิยามของเหล็กไหล คืออะไรกันแน่ บางตำนาน ก็กล่าวว่าเหล็กไหล คือ แร่ธาตุที่อาบเอาไอของกสิณไฟ กสิณน้ำ กสิณลม และกสิณดิน ที่ผู้ทรงวิทยาคม เข้าไปบำเพ็ญพรตในถ้ำ จนมีตบะฌานที่แก่กล้า เมื่อจะละสังขารตายจากโลก ก็จะคลายตบะฌาน ที่มีอยู่รักษาไว้ไปในถ้ำ เผื่อว่าหากเกิดใหม่ ในโลกมนุษย์ก็จะกลับมา เอาสิ่งนั้นกลับคืนสู่ตน สิ่งศักดิ์สิทธิ์พม่า กำเนิดเหล็กไหลน้ำหนึ่ง :: ด้วยพลังอันเข้มแข็งของตบะฌาน ทำให้หินแร่ธาตุที่อยู่ภายในถ้ำ ต้องถูกไหม้จนกลายเป็นสีดำ ซึ่งเมื่อก้อนหินเหล่านี้ ได้รับพลังที่มากขึ้น จะกลายเป็น สิ่งที่มีชีวิต จิตวิญญาณ จากก้อนหิน ที่มีความแข็งแกร่ง จะกลายเป็นสิ่งที่อ่อนนุ่ม คล้ายกับเนื้อของปรอท สามารถเคลื่อนไหว ไปมาได้  เหล็กไหลที่สามารถเคลื่อนไหว ได้จะถูกเรียกว่า “เหล็กไหลน้ำหนึ่ง” หรือ”เหล็กไหลโกฏิปี” ถือเป็นส่วนหัวใจ ของเหล็กไหล ที่มีพลังอำนาจสูงสุด  ชอบเสพกลิ่นของดอกไม้ และน้ำหวาน โดยเฉพาะน้ำผึ้ง ว่ากันว่าถ้ำที่มีเหล็กไหลชนิดนี้ มักจะมีรวงผึ้งผา อยู่ที่หน้าถ้ำ แต่รวงผึ้งที่เกิดบริเวณหน้าถ้ำนี้ ก็จะถูกดูดน้ำหวาน จนรังกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ผู้ที่ตามล่าเหล็กไหลน้ำหนึ่ง จึงใช้หลักการนี้ จะสังเกตว่ารวงผึ้ง ในบริเวณหน้าถ้ำ เป็นสีอะไร หากเป็นสีขาวแสดงว่า มียอดเหล็กไหล อาศัยอยู่ในนั้น เหล็กไหลน้ำรอง :: เหล็กไหลเหล่านี้ จะได้จากหิน เพราะยังไม่มีพลังมากพอ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ มักมีลักษณะ เป็นก้อนแข็งคล้ายแร่ธาตุ ในบางครั้งเหล็กไหลประเภทนี้ จะต้องใช้กรรมวิธีการทุบ หรือ สกัดเอาจากก้อนหิน เช่น  เหล็กไหลเงินยวง เหล็กไหลไฟ เหล็กไหลไพรดำ เป็นต้น ซึ่งต่างจากเหล็กไหลโกฏิปี หรือ เหล็กไหลน้ำหนึ่ง ที่ต้องตัดด้วยวิชาอาคม หรือ ใช้กลวิธีการล่อเหล็กไหลเท่านั้น สรรพคุณความเข้มขลัง ของเหล็กไหล :: ว่ากันว่าจะแบ่ง ตามชั้นน้ำของเหล็กไหลแล้ว เหล็กไหลน้ำหนึ่ง หรือ เหล็กไหลโกฏิปี จะมีสรรพคุณครอบจักรวาล  ทำให้ผู้ครอบครอง มีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ เช่น มีลางสังหรณ์พิเศษ เรียกทรัพย์ ผู้คนเกรงขาม และ อยู่ยงคงกระพัน เป็นต้น ส่วนเหล็กไหลน้ำรอง ลงมาก็จะมีคุณสมบัติ เพียงข้อ 1 ข้อใดตาม แต่ละพื้นที่ ของแหล่งที่พบเหล็กไหล  ในปัจจุบันสิ่งนี้ ถือเป็นวัตถุธาตุ ที่ผู้คนยังคงให้ความเชื่อถือ จนบ่อยครั้งที่ได้ยินข่าว การซื้อเหล็กไหล ด้วยเงินหลายล้านบาท เพราะเชื่อในคุณ อันวิเศษของแร่ชนิดนี้

สิ่งศักดิ์สิทธิ์

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คตปรอท แร่หุงมหาอุตม์

อันดับที่สอง คำว่า “คต” หมายถึง สิ่งที่ขดตัวกันเป็นก้อนแข็ง ซึ่งในบรรดาคตที่แปลกที่สุด และ ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ “คตปรอท” นั่นเพราะธรรมดาของปรอท จะเป็นโลหะธาตุที่มีสถานะ เป็นของเหลวคล้ายคลึงกับน้ำ แต่มีน้ำหนัก และ คุณสมบัติอื่นเป็นโลหะ ดังนั้น การที่ปรอทจะจับตัวกันแข็ง ในลักษณะเป็นคต จึงเป็นไปได้ยาก คตปรอทจะมี 2 ลักษณะตามการกำเนิด คือ คตปรอทที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้หญิง เกิดจากมนุษย์หุงแร่ขึ้น :: โดยจะนำปรอทดิบมาให้ความร้อน แล้วเติมสารต่าง ๆ ลงไป ซึ่งกรรมวิธีเหล่านี้ เรียกว่าการหุงปรอท โดยแร่ธาตุหลัก ที่นำมาใช้จะมีทั้ง แร่เจ้าน้ำเงิน แร่เขียวสมุทร แร่เงินยวง กำมะถันแดง ดีบุกดำ และ ชาติหรดาล เป็นต้น ซึ่งสูตรเหล่านี้ จะไม่ตายตัวขึ้นอยู่กับ แขนงวิชาของผู้หุงปรอท  เมื่อหุงปรอทได้สำเร็จแล้ว ปรอทที่ได้จะหดตัว กลายเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ มีพื้นผิวขรุขระ แต่คตปรอทที่เกิดจาก กรรมวิธีนี้มักจะมีพิษ เกจิอาจารย์ จึงใช้วิธีการฆ่าพิษปรอท ด้วยการใส่น้ำยาประสานทอง และ แผ่นทองเปลวแท้ ในการปิดผนึก เพื่อป้องกันไม่ให้ปรอท สัมผัสกับผิวหนังของมนุษย์ หรือ ในบางครั้ง อาจจะเรียกพิษปรอท ด้วยการห่อหุ้มด้วยลูกบอลวงกลมสำริด เมื่อทำเสร็จแล้วจะเรียกว่าปรอทกรอ ส่วนคตปรอท ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ :: ซึ่งมีก้อนแข็งผิวขรุขระ เป็นก้อนที่รูปทรงค่อนข้างกลม มักอยู่ในโพรงหิน ที่เป็นชั้นหินโบราณ ตามความเชื่อของชาวบ้านเล่าว่า หินก้อนใดที่มีคตปรอท ซ่อนอยู่ภายใน ในยามวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง หินก้อนนั้นจะสะท้อนแสง ในคืนเดือนแรมบางครั้ง จะมีลูกไฟตกลงมา ยังหินก้อนนั้น ซึ่งคตปรอทแบบธรรมชาตินี้ จะมีความเข้มขลัง  มีพลังงานพิเศษมากกว่า โค้ชปรอทที่มนุษย์สร้างขึ้น เพราะมีคุณสมบัติ ในการป้องกันภัยพิบัติต่างๆ ทำให้แคล้วคลาด จากอุบัติเหตุ ป้องกันคุณไสย และ คนทำร้าย แต่การดูแลคตปรอท ห้ามเก็บไว้ใกล้กระเป๋าเงิน เพราะคตปรอทเป็นเครื่องราง ที่มีคุณสมบัติมหาอุด จะทำให้เงินไม่เข้ากระเป๋านั่นเอง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แก้วเสด็จ แก้วลอย พระธาตุเสด็จ ลูกแก้วลึกลับในคืบวันเพ็ญ

อันดับที่สาม ในคืนวันพระ ไม่ว่าจะเป็นเดือนดับ หรือ เดือนเพ็ญในพื้นที่หมู่บ้าน ที่เป็นป่าเขา มักจะพบเห็นแสงสว่าง ที่คล้ายกับดวงดาว ขนาดใหญ่ลอยเคลื่อน จากป่าผืนหนึ่ง ไปยังอีกฟาก หรือ อาจลอยจากยอดเขา อาจจะภูเขาลูกถัดไป ปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ทั่วประเทศไทย ซึ่งแต่ละแห่งจะมีความเชื่อ เรื่องการเกิดปรากฏการณ์ที่ต่างกัน วิธีครอบครองแก้วเสด็จ :: บางพื้นที่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ คือพระธาตุเสด็จ ซึ่งเป็นการเคลื่อนที่ ของพระธาตุ หรือ อัฐิธาตุของผู้มีบุญญาธิการ บ้างก็ว่าเป็นการเดินทาง ของผู้บำเพ็ญพรต ที่เหาะไปแสดงธรรม ยังเมืองลับแลที่อยู่ภายในป่า แต่บางกลุ่มชน ก็มีความเชื่อว่าลูกไฟ ที่ลอยไปมาให้เห็นนี้ คือลูกแก้วสารพัดนึก หรือ ลูกแก้วจักรพรรดิ์ ว่ากันว่าหากใคร ได้แก้วเสด็จมาครอบครองแล้ว จะทำให้มีอิทธิฤทธิ์ มีพลังอำนาจพิเศษ อย่างรู้อนาคต มีเมตตามหานิยม มีเดชะอำนาจมากกว่าผู้คนทั่วไป อีกทั้งยังทำให้แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ตามหาแก้วเสด็จ :: เมื่อเห็นแสงลูกแก้ว เสด็จลอยไปอย่างที่ใด ก็จะมีผู้คนตามหา จุดตกของลูกแก้วเสมอ มีคนเล่าว่าเมื่อลูกแก้วลอยไป จนถึงยอดเนินแห่งหนึ่ง แล้วลูกแก้วก็ตกลงไปในดิน ภายในบริเวณที่ลูกแก้วตกลง จะกลายเป็นหลุมรูขนาดเล็ก และในบริเวณนั้นจะมีรอยไหม้ แม้แต่ดินทราย ยังมีการหลอมละลาย หากลูกแก้วนี้ ตกลงไปในดินแล้ว เมื่อขุดตามลงไป มักจะเจอก้อนหิน ที่มีคุณสมบัติคล้ายแก้วซ่อนอยู่ แต่แก้วที่ได้จาก การขุดนี้ จะไม่มีอิทธิฤทธิ์อนุภาพมากมายนัก หากต้องการครอบครองแก้วชนิดนี้ จะต้องดักจับเอาตอนที่ยังไม่ตกดิน โดยใช้ผ้าชุบน้ำผึ้งคลุมเอา หากสามารถคลุมลูกแก้วได้ ก็จะได้ครอบครอง แต่หากไม่ได้ลูกแก้ว ก็จะทะลุผ้าไปในที่สุด แต่ในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานว่า สามารถจับลูกแก้วเสด็จได้ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด ความเชื่อมั่นและศรัทธาใน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ก็ยังคงมีอยู่คู่กับสังคมไทย หรือ จะเรียกได้ว่าคงอยู่คู่กับ สังคมโลกเลยก็ว่าได้ เพราะตราบใดก็ตามที่มนุษย์ ยังคงมีอารมณ์ความรู้สึก ความทะเยอทะยาน ฝักใฝ่หาอำนาจพิเศษเหนือกว่าผู้อื่น ความต้องการในเรื่องลี้ลับ ก็จะยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน สำหรับผู้ที่กำลังใฝ่หา วัตถุอันวิเศษดังกล่าวในข้างต้นนี้ ควรไตร่ตรองให้รอบคอบ ต้องใช้เหตุผลคิดวิเคราะห์ว่า หากวัตถุนั้นมีความวิเศษจริง เหตุใดจึงสามารถซื้อหาด้วยเงินตรา มาครอบครองได้ง่าย นั่นเพราะเจ้าของย่อมจะไม่ยอมขายโดยง่ายแน่ ดังนั้น แทนที่จะมองหาอำนาจวิเศษ จากภายนอกลองเปลี่ยนมาฝึกฝนตนเอง ให้มีความพิเศษด้วยความคิด สติปัญญา และความสามารถในการดำเนินชีวิต ให้มีความสุข สิ่งเหล่านี้ต่างหาก คือพลังวิเศษอย่างแท้จริง สนใจลงทุนสมัครได้ที่ LINE @VIP123s เว็บไซค์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ :: ข่าวอนิเมะ , ข่าวการ์ตูน, รีวิวหนัง , รีวิวซีรี่ย์